สัมผัสปาย ครั้งแรกเมื่อ 17 ปีก่อน ตอนนั้นปาย ไม่มีอะไรเลย เป็นอำเภอสุดแสนจะกันดาร ไม่มีใครเหลียวแล เป็นแค่ทางผ่าน มีปั๊มน้ำมันเล็กๆสองหัวจ่ายอยู่แค่ปั๊มเดียว ก๋วยเตี๋ยวในตลาด มีให้กินตอนกลางวันแค่ร้านเดียว ถนนกลางเมือง เส้นที่มีร้านกาแฟชื่อดัง(แต่ไร้น้ำใจ) ตอนนั้นยังเป็นทางราดปูนเก่าๆ มีห้องแถวโย้เย้อยู่ไม่กี่แห่ง
หกปีที่แล้ว ความเจริญเริ่มมาเยือน จากปากต่อปากของบรรดานักท่องเที่ยวบักสีดาที่นิยมการใช้ชีวิตสมบุกสมบัน ประเภททัวร์เดินป่า นอนตามห้างนา พี้มารีฮวนน่า ล่องแพ......มีร้านเหล้าที่กิ๊บเก๋สุดๆตอนนั้นก็คือ B-Bob ซึ่งเจ้าของร้าน เป็นรุ่นพี่ที่คณะที่ผมเรียนนั่นเอง
ห้าปีที่แล้ว แทบไม่มีนักท่องเที่ยวคนไทยไปเดินครับ
สี่ปีที่แล้ว พัฒนาการของปาย เดินตามถนนข้าวสารไม่ผิดเพี๊ยน มี 7-11 มีอินเตอร์เน็ทคาเฟ่ เริ่มมีหนุ่มสาววัยรุ่นชาวกรุงไปเยือน
สามปีที่แล้ว หมู่นักท่องเที่ยวคนไทยวัยรุ่น เริ่มไหล่หลั่งเข้าไป ที่ดินเริ่มขึ้นราคา คนเมืองหลวงแห่กันไปซื้อที่ทำรีสอร์ท ทำเกสเฮ้าส์ และในปีนั้นเอง เหมือนธรณีพิโรธ เกิดดินถล่ม น้ำป่าไหลหลากลงจากยอดเขา พัดเอาก้อนหินขนาดยักษ์และรากไม้ ตอไม้ขนาดบิ๊กบึ้มลงมาซักบรรดาเกสเฮ้าส์และรีสอร์ทริมน้ำ หายวับไปกับตา
มองอีกมุมนึง ตามความเชื่อของคนเฒ่าคนแก่ นั่นอาจเป็นสัญญานจากธรรมชาติว่า สิ่งแปลกปลอมเหล่านั้น ไม่ใช่วิถีที่ถูกต้องที่จะอยู่คู่กับเมืองปาย.......
ที่สำคัญ สิบกว่าปีก่อนที่ผมไป คนเมืองปายน่ารัก มีน้ำใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่สองปีที่ผ่านมา ทุกอย่างมีแต่คำว่า "ผลกำไร" แค่นั้นเอง
ที่เคืองมากที่สุด ล่าสุดที่เพิ่งไปมา ก็คือบรรดาร้านกาแฟที่แห่กันมาสร้างริมถนนบนเนินเขา บรรดานักท่องเที่ยววัยรุ่น (แม่ม) ก็แห่จอดรถกันลงไปเพื่อถ่ายรูปกับป้ายชื่อร้าน จนเกะกะเต็มถนน ซึ่งเป็นทางสัญจรหลัก จนอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ บรรดาสาวน้อยแก้มแดงชาวกรุง เดินกึ่งกระโดดเหยงๆกันอยู่ริมถนน .....
บ้าไปแล้ว !
ที่สำคัญ ถ้าท่านขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านถนนช่วง ปาย-แม่มาลัย ไม่ว่าขาไปหรือขากลับ มีสิ่งที่ท่านต้องระวังก้คือ -บรรดารถยนต์แต่งซิ่งจากเมืองกรุง ที่ชอบจำลองถนนหลวงเป็นสนามดริฟท์ สาดเข้ามากินเลนแบบเต็มๆ - ถ้าจะแซงหรือสวนรถโดยสารประจำทางคันสีส้มๆ ก็ระวังอ๊วกของผู้โดยสารปลิวมาปะทะให้ดี เพราะสาวๆชาวกรุง ไม่รู้ฮิตอะไรนักหนา ชอบนั่งรถส้มที่ว่า แล้วแม่เจ้าประคุณก็จะเมารถ แล้วอ๊วก กันตลอดทาง
เฮ้อออออออ.......
|