สอบถามผู้ใช้ ER-6N และ D-TRACKER |
อยากสอบถามผู้ที่ใช้รถ KAWASAKIรุ่นER-6Nกับ D-TRACKER250 มีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้างครับและราคาอะไหล่แพงไหมและใช้น้ำมันแกสโซฮอล์ได้รึเปล่าครับ พอดีกำลังหาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อครับ ขับไปทำงานอาทิตย์ละคั้รงไปกับ50กิโลครับ ช่วยแนะนำด้วยครับขอบคุณครับ
|
karoki26 time: 2009-10-27 07:23:48
|
แจ้งลบกระทู้ |
ความเห็นที่ #1 |
ลองไปดูที่ webข้างล่างนะครับ
ข้อมูลเพียบครับ แถมรุ่นยอดนิยมทรงสวย วิ่งประหยัดอีกสักรู่น
เท่าที่อ่านมาก็ราคาอะไหล่ไม่แรงนะครับ เติมโซฮอล91 ได้ทุกตัวครับ ใช้วิ่งในเมือง50กม ตัวไหนก็ทำได้ครับ ชอบแปลกก็ Dtracker250 ชอบแนวSporttouringวิ่งดี ประหยัดก็ Ninja250 ชอบแนวNaked bike แรงดี ก็ER6Nครับ ถ้าชอบก่ำกึ่งระหว่าง Ninja250 กับ ER6N ก็ไปลง Ninja650Rเลยครับ ^^
|
Jason
2009-10-27 08:35:09
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #2 |
ตอบในฐานะผู้ใช้er6n ครับ
1.ข้อดี-เป็นรถมือหนึ่ง มีทะเบียน ราคาไม่แพง อัตราเร่งดีใช้ได้ กินน้ำมันประมาณ15-20กม./ลิตร (แล้วแต่การขับขี่)ราคาอะไหล่ไม่แพง มีศูนย์บริการพร้อม (ผมอยู่กทม.)ใช้น้ำมันแก๊ซโซฮอล์ได้ทั้ง 91 และ 95 2.ข้อเสีย - คุณภาพวัสดุติดตัวรถส่วนใหญ่ก็ตามราคา เรื่องเบรกไม่หนึบเท่าไหร่ ฉะนั้นอาจต้องปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อความมั่นใจ (ผมเองยังไม่ได้ปรับปรุง ก็อาศัยเบรกแต่เนิ่นๆ ลดเกียร์ช่วย ขี่ไม่เร็วมาก)
ถ้าขับทำงานอาทิตย์ละครั้งๆละ 50 กม.แล้วต้องการรถใหญ่สักคัน ที่ขี่สนุกใช้ได้ ราคาไม่แรง ค่าบำรุงรักษาต่ำ er6 ทั้ง n และ f ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนครับ |
nasaka
2009-10-27 09:37:48
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #3 |
ปัญหาที่คนอื่นเจอ
ปัญหาที่ผมเจอ
เพิ่มให้อีกสองข้อคือ เมื่อใช้งานจริง มันกินน้ำมันมากกว่า Ducati 1100 CC.ซะอีก
และ เนื่องจากรอบเครื่องที่เกียร์6สูงมาก(140ประมาณ 7-8พันรอบ) ทำให้มีแรงสะเทือนจากเครื่องมาที่แฮนด์+เบาะเยอะ ขี่นานๆรำคาญได้ครับ
ข้อดีที่สุดคือราคาไม่แพง และมีทะเบียน พร้อมประกันภัย
ลองศึกษาดูครับ |
Mangza
2009-10-27 10:01:40
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #4 |
ก่อนอื่น ต้องขออภัย หลายๆท่านที่รออ่านบทความที่ผมจะเขียนถึงเจ้าสองตัวนี้ ตั้งแต่ออกมาวางตลาดใหม่ๆ จนหลายท่านสอบถามกันมาเป็นระยะๆ เพราะสาเหตุอะไร ??? ตอบแบบไม่ต้องยืดยาวก็คือ รถสองตัวนี้ มีคน "หลง" อยู่พอสมควร แล้วสไตล์การเขียนของผมค่อนข้าง "ตรง" จนหลายคนหงุดหงิด
จวบจนวันนี้ เชื่อว่าหลายๆปัญหาที่ผมเคยเอ่ยถึงไปเกี่ยวกับรถสองตัวนี้ คงได้รับการ "สัมผัส" ด้วยประสบการณ์จริงๆของหลายๆคนกันแล้ว และบางปัญหาก็ได้รับการแก้ไขในระดับหนึ่ง (เท่านั้น)
ข้อความต่อไปนี้ "เกิดจากความรู้สึกส่วนตัวที่ได้สัมผัส อันเป็นผลมาจากประสบการณ์การขี่ของผม คนเดียว"
......................................................... ว่ากันที่ตัวแรก D-Tracker หรือที่ได้รับฉายาอันน่าภูมิใจ(ไหมเนี่ย?)ว่า "ดับ แทรคเกอร์" ในช่วงสาม-สี่เดือนแรกที่มันออกมาวางตลาดบ้านเรา
ต้องบอกก่อนที่จะอ่านบรรทัดถัดไปก่อนครับ ว่าผมได้ลองขี่มันจริงในสนาม ในสภาพรถเดิมๆ ส่วนบนถนน มีโอกาสได้ขโมย KLX250 โฉมปัจจุบันขี่ตอนไปทริปหลวงพระบาง แต่สำหรับ D-Tracker ตัวก่อนหน้านี้ ผมครอบครองมันอยู่ 3 ปี ขี่ไปทำงานในเมืองทุกวันอยู่ปีกว่าๆ รวมถึงลากยาวเดี่ยวๆรวดเดียวขึ้นแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย อยู่หลายรอบ
ถามว่าทำไมต้องเอ่ยถึงโมเดลเก่า....ก็เพราะมิติของตัวรถ "ไม่ต่างกัน" เครื่องยนต์ก็บล๊อคเดียวกัน ต่างกันแค่เปลือกพลาสติคและระบบจ่ายน้ำมันจากคาร์บูฯ เป็นหัวฉีด
การใช้งานในเมือง... ด้วยมิติของตัวรถที่สูงโย่ง ระบบช่วงล่างให้ตัวได้มาก (ความหนึบอยู่ที่การปรับตั้ง - ของเดิมๆนิ่มเกินไป)และถ้าคุณรูจักวิธีการควบคุมรถประเภทนี้อย่างถูกต้อง มันจะทำให้คุณ "ไปได้เร็ว" กว่ารถเล็กบ้านเราหลายๆรุ่นที่ผมเคยขี่มา กำลังของรถตัวหัวฉีดที่ "เฉื่อย"กว่าตัวคาร์บูฯก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด แต่สามารถแก้ได้ด้วยการกระชากรอบให้ "ตึงมือ" กว่าเดิม แต่ต้องอย่าลืม "เปลี่ยนยาง" ให้เป็นเกรดที่คอมปาวน์นิ่มกว่าที่ติดรถให้มา เนื่องจากที่เคยลองยางติดรถมาสองคัน มัน"เห่ย" จนยากที่จะควบคุมในบางจังหวะที่คุณอยากสะบัดก้นเปลี่ยนไลน์ หรือแม้แต่จังหวะเบรคฉุกเฉิน
การใช้งานเดินทางไกล...ตอบไม่แบบไม่อ้อมค้อม และไม่ต้องหลอกตัวเองหรือใครๆ ว่ามัน "ไม่เหมาะสำหรับขี่ทางไกล" เพราะดีไซน์ของรูปทรงเบาะที่แคบ จนเกิดอาการกดทับของแก้มก้นที่หนีบเบาะเอาไว้ในองศาการกางขาที่ "แคบ" ทำให้ฟองน้ำเบาะที่ยุบจนเป็นก้อนยางแข็งมาสัมผัสแก้มก้นต้นขาด้านในใกล้ทวารหนักจนเกิดอาการ "ชา" ในกรณีที่ขี่เกิน 150 กม.ต่อหนึ่งทริป รวมถึงไม่ต้องคิดที่จะเอาใจแฟนมาซ้อนให้เสียเวลา เพราะเธอจะ "เมื่อย" ก้นจนหงุดหงิด เนื่องจากตำแหน่งพักเท้าคนซ้อนที่อยู่สูง (ซับเฟรมตัวล่าง)ทำให้ต้องงอขา จนน้ำหนักกดจากร่างกายย้ายมาที่ก้นแทบทั้งหมด ใครว่าแฟนตัวเองรักเราขนาดไหน ก็ลองพาซ้อนดูซัก 100 กม.โดยไม่จอดดูสิครับ...
ข้อดีของมันที่ผมชอบก็คือ "ประหยัดน้ำมัน" จนน่าตกใจ เพราะในโมเดลเก่าที่ประหยัดอยู่แล้ว พอมาโฉมใหม่ที่ปรับระบบจ่ายเชื้อเพลิงมาเป็นหัวฉีด ทำให้มันยิ่งประหยัดมากกว่าเดิม ซึ่งเป็นต้องทำใจกับผลลัพธ์ในตอนท้าย ว่าในเมื่อมันกินน้อย ก็อย่าไปหวังที่จะให้มันมีแรงมากอย่างใจหวังครับ ถามว่าแรงขนาดไหน...เอาเป็นว่า Sonic เดิมๆ สวนทวารบานกันถ้วนหน้าล่ะครับ
วกกลับไปที่คำถามของเจ้าของกระทู้ สำหรับการหารถใช้ขี่ไปทำงานไป-กลับ 50 กม. ...ถ้ามีงบแสนกลาง ก็น่าสนใจครับ เพราะคุณจะได้ความนุ่มอย่างที่รถเล็กๆไม่มีให้ คุณจะได้เบรคที่รู้สึกได้ว่า "หนึบ" คุณจะได้จ่ายค่าน้ำมันสบายกระเป๋า (ขี่ระยะทางแค่นี้ เติมถังนึง อยู่ได้เป็นเดือนครับ)ส่วนราคาค่าอะไหล่ เคยนั่งเปิดสมุดราคาอะไหล่มาแล้ว ถือว่า "คบได้" ครับ เพราะมันผลิตในบ้านเรานี่เอง
|
banana
2009-10-27 12:29:04
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #6 |
-Dtracker มันเป็นรถที่ขี่สนุกมากกก ขี่ง่าย เข้าโค้งพริ้ว แรงบิดดี ประหยัดโคตรๆ ช่วงล่างแบบว่า ขี่ไม่ต้องหยอด (และจะนุ่มมากขึ้นใน KLX)
หากเทียบกับ Dtracker ตัวเก่านั้น มีข้อแตกต่าง ก็คือ Dtracker ตัวเก่านั้น จะใช้ช่วงล่างชุดเดียวกับ KLX (สูง นิ่ม ยุบเยอะ) แต่ DTX จะเซตช่วงล่างต่างกับ KLX อย่างชัดเจน ทั้งความสูง(น้อยกว่า) ช่วงยุบ และความแข็ง นั่นทำให้ DTX ถึงแม้จะสูง แต่ก็ขับขี่บนทางเรียบได้อย่างมั่นใจ แต่ออกจะกระด้างไปบ้างบนทางฝุ่น
เบรคของ DTX นั้น สมูทมาก กำเบรคแล้วนุ่มมือ หน้ายุบลงไปได้อารมณ์การเบรคมั่นใจดี อะไหล่บางตัวที่ไม่น่าจะแพง ก็แพงซะน่าใจหาย เช่นกระจกมองหลัง ทับทิมสะท้อนแสง แต่บางตัวที่น่าจะแพง ก็ถูกซะเช่น สายคลัทช์ มือคลัทช์ รวมๆแล้ว ราคาซ่อมบำรุง แพงกว่ารถบ้านนิดหน่อย
ยาง DTX บนทางเรียบนั้น มั่นใจได้ครับ ด้วยสมรรถนะของมัน ยางที่ให้มากับรถ เอาอยู่ แต่ถ้าลงทางฝุ่นนี่...ลื่นใช้ได้ ทั้งดินแห้งหรือดินเปียก ถ้าต้องการ Dual จำเป็นต้องเปลี่ยนยางเป็น A/T ครับ
สมรรถนะ พละกำลัง ถึงแม้จะ 250 cc แต่อย่าไปหวังว่า ด้วยรูปทรงแบบนั้น คุณจะใช้มันเดินทางด้วยความเร็ว 160 กม./ชม. สมมติว่าเครื่องยนต์มันทำได้ คุณก็ไม่น่าจะบังคับรถได้ที่ความเร็วขนาดนั้น (ลมตีจนมันจะส่ายเป็นงู) แต่ข้อเสียก็คือ มันล๊อครอบที่ 7400 รอบ ดังนั้นความเร็วที่คุณจะทำได้สุดๆคือ ไม่เกิน 120 ด้วยสภาพเดิมๆ ซึ่งมันน้อยเกินไป หากจะต้องใช้รถคันนี้ในการเดินทาง ดังนั้น อย่างไรเสีย คุณก็ต้องตัดใจจ่ายเงินอีก 8 พันกว่า เพื่อเปลี่ยนกล่องปลดล๊อค ซึ่งมันจะพาคุณทะยานไปได้ถึง 140 แตก็นั่นละ 140 ก็เร็วเกินไปสำหรับ DTX... แล้วจะเปลี่ยนกล่องทำไม? - เอาไว้เร่งแซง คือคำตอบ ความเร็วเดินทางก็ป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆ 110-130 คือสมรรถนะที่เหมาะสมของ DTX ที่เปลี่ยนกล่องแล้ว
เดินทางไกลได้มั๊ย?...ได้ซิครับ ทำไมจะไม่ได้ ขึ้นอยู่กับใจของคุณละ เรื่องเมื่อยตรูดนั้น เมื่อยแน่ๆ มากด้วย(จริงๆรถอะไรก็เมื่อยทั้งนั้น) แต่อย่าลืมว่า มันยืนขี่ได้ และออกจะเท่ห์ซะด้วยซิ แต่ไม่ว่าจะเดินทางไกลหรือใกล้ มันก็ไม่เหมาะด้วยประการทั้งปวงสำหรับเดินทาง 2 คน การนั่ง 2 คนใช้ได้แค่กรณีไปซื้อมาม่าปากซอย แค่นั้นแหละครับ
----------------------------------- ER6N เรียกได้ว่า เป็นรถที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับ Naked ในราคาสองแสนกลาง ณ เวลานี้ คุณได้เครื่องแรงเหลือเฟือที่คุณจะใช้ได้หมด ได้ความสดใหม่ของเครื่องยนต์ ได้ประกัน ได้ความสบายใจว่าเครื่องยนต์ไม่ตายกลางทางแน่นอน เติมน้ำมันอย่างเดียว วิ่งได้ทั่วประเทศ ค่าบำรุงรักษาไม่จุกจิกตามประสารถญี่ปุ่น
อัตราสิ้นเปลือง ผมทำได้ 20-25 โลลิตร...เดินทางแต่ละครั้ง เติม E10 91 ชอตละ 300 บาท มันจะพาคุณไปได้ไม่น้อยกว่า 250 กม. ด้วยความเร็วช่วง 120-140 (ซึ่งเพียงพอ เพราะระยะเมื่อยตรูดอยู่ราวๆ 200 กม.)
สมรรถนะเครื่องยนต์ เอาว่า เหลือๆ ถ้าไม่เอาไปแข่ง ใช้ไม่หมดหรอก
เบรค ตามที่มีหลายเสียงสงสัยในตัวมัน...ในทัศนะผม ผมว่า รถแต่ละคัน (ทั้งรถยนต์ รถมอไซค์) มันก็มีน้ำหนักเบรค อารมณ์เบรคที่ต่างกัน ถ้าคุณไม่ได้มีรถสลับสับเปลี่ยนบ่อยๆ ใช้อยู่คันเดียวทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ต้องปรับความรู้สึกบ่อยๆ มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
ช่วงล่าง...เดิมๆ เซตมาแข็งไปนิดนึง (สำหรับผม) แต่ปรับได้แล้วแต่ชอบครับ สมรรถนะความมั่นใจ มันก็สมกับความเป็น bigbike ครับ
----------------------- ถ้าจะสรุป -คิดจะเดินทางไกลหรือเปล่า? ถ้าคิดว่ามีเดินทางไกลและซ้อน 2 ด้วย เอา ER6 ไปเลย แพงกว่า เปลืองกว่า แต่ตอบสนองได้ครบกว่า -ถ้ายังไงๆ ฉันก็ไม่ไหวกับการเดินทางไกลด้วยมอไซค์หรอก ก็ไม่รู้ต้องจ่าย 2 แสนเพื่อเอารถมาวิ่งใกล้ๆทำไม? DTX ก็เท่ห์คอตๆแล้ว
ทั้งหมดนี้ เป็นทัศนะส่วนตัวจากการใช้งานจริงในชีวิตประจำวันครับ |
backpacker
2009-10-28 04:30:53
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #8 |
ชอบครับ...สำหรับการแชร์ความคิดเห็นกันแบบนี้ !!! ......................................
เอ้า...มาว่ากันต่อ สำหรับ ER6N ก่อนอื่นต้องเกริ่นกันก่อนว่า ช่วงที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ลอง - ER6N เดิมๆ วิ่งมาพันกว่ากิโล หวดในสนาม - ER6N ABS เดิมๆ ไมล์ 6 กิโล เทสท์เบรคและหวดในพื้นที่ฝึกสอน (จัดไปแบบเต็มเหนี่ยว) - ER6F ABS ไมล์ 0 ขี่ออกจากศูนย์ รวมถึงว่อบแว่บในเมืองอยู่สามร้อยกว่ากิโล - ER6N เดิมๆ เปลี่ยนแค่สายเบรคหน้า ไมล์ห้าร้อยกว่าๆ หวดบนไฮเวย์ กทม.- ลพบุรี แบบไม่มีกั๊กคันเร่ง ไหลให้สุดเท่าที่รอบเครื่องจะไปได้
คาดว่าคงครบ และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ผม "ช้า" ที่จะเขียนถึงเจ้าตัวนี้ ก็เพราะต้องการลองขี่มันให้ครบรุ่น ครบประเภทใช้งาน ไม่งั้นเดี๋ยวแมงเม้าท์จะบินว่อน ?
การใช้งานในเมือง ช่วงแรกรู้สึกสนุกสนานกับกำลังเครื่องยนต์ที่ "ต้นไว" ถ่ายพลังลงสู่ล้อแบบเป็นก้อนๆ แต่ไม่กระแทกไส้ให้คลอนแบบจุกอกเหมือนวีทวิน หรือสูบเดี่ยวในพิกัดไล่เลี่ยกัน (เทียบกับ 696 และ XR650)ระบบเบรคของตัวธรรมดา "ไม่เนี๊ยบ" ถึงแม้จะบรรจง ตั้งใจกำหนดจุดเบรคในระยะที่เท่ากัน แต่ฟีลลิ่งตอบสนองบางจังหวะยังมี "วืด" ทำให้ต้องขี่ในลักษณะ "ขี่ไป เช็คเบรคไป" ระบบช่วงล่างจัดว่านิ่มยวบยาบ จังหวะที่พลิกรถซอกแซกเร็วๆ รู้สึกได้เลยว่าถึงมันจะนิ่ม แต่คืนตัวเร็วมากเกินไป จนทำให้จังหวะการคอนโทรลรถเพี๊ยนไป
การใช้งานเดินทางไกล เจ้าของรถไฟเขียว ย้ำนักย้ำหนาว่าให้ขี่เยอะๆ ก็เลยประจวบเหมาะกับสองอาทิตย์ก่อนมีคนชวนขี่รถไปลพบุรี ตามประสาคนใจง่าย แต่หน่ายไม่เร็ว ก็เลยถือโอกาสเอามันออกไปลองทางไกล และอย่างที่รู้ๆกันอยู่สำหรับคนที่ขี่เส้นทาง กทม. - สระบุรี - ลพบุรี - มวกเหล็ก - นครนายก - กทม. ว่ามันมีลักษณะถนนที่ดีเลวสลับช่วงกันไป รวมถึงมีช่วงทางตรงที่ยาวนับสิบกิโลให้ลอง"หวด" มีโค้งไฮสปีดให้ละเลียด มีโค้งพับเล็กๆให้สะบัดก้น รวมถึงถนนเป็นลอนคลื่นจากรถบรรทุกให้สยองของรักของหวง - กำลังเครื่องยนต์ ช่วงต้นขึ้นดีตามสไตล์รถที่ออกแบบมาให้ขี่ในเมืองครับ แต่สามเกียร์สุดท้าย กว่าจะไหลขึ้นไปต้องกลั้นใจแช่รอบอยู่นาน รวมไปถึงการลองตามแบบเฉพาะของผมที่ทำประจำในการทดลองอาการ "ดึง" ของเครื่องยนต์ (ด้วยการแช่เกียร์สุดท้ายที่ความเร็ว 100 กม./ชม. แล้วสะบัดคันเร่งให้สุด เพื่อทดสอบแรง "ดึง") ก็ยังรู้สึกผิดหวังนิดๆ ส่วนความเร็วสูงสุดที่ผมลองกด (น้ำหนักตัวผม 82 กก. รถน้ำมันประมาณครึ่งถัง) ไล่ได้สุดๆในทางราบที่ 195 กม./ชม. ถึงแม้จะแช่คันเร่งสุด มันก็ไม่ไหลไปกว่านี้อีกแล้วขอรับ - ฟีลลิ่งการขับขี่ การทรงตัวรวมไปถึงการควบคุมรถที่ความเร็วต่ำ สะดวกสบายดีดังใจ แต่ถ้าความเร็วแตะ 140 กม./ชม. เมื่อไหร่ รู้สึกได้ทันที่ว่ารถเริ่ม "โหวงเหวง" แขนต้องเกร็ง ก้มคอ งอไข่...เอ๊ย...งอเข่าล๊อคถัง - ระบบช่วงล่าง พูดแบบไม่ต้องเกรงใจเจ้าของรถคนไหนที่ให้ลองขี่ ก็ต้องบอกว่า " อย่าไว้ใจมันเด็ดขาด" สำหรับคนที่ต้องการซัดมันออกทางไกล เพราะทั้งหน้าและหลัง "นิ่มมาก" และไม่มีความหนืดไว้คอยหน่วงการยืด-กดในบางจังหวะที่เจอโค้งต่อเนื่องซึ่งลองเข้าไปแบบไม่ใช้เบรค แต่ใช้วิธีเล่นกับรอบเครื่องยนต์ให้เป็นตัวดึงกำลังแทน ที่เสียวที่สุดก็คือจังหวะนึงที่ผมเข้าโค้งไฮสปีด โดยจัดรอบ จัดไลน์ แล้วไหลเข้าไปแบบคลอคันเร่ง ก่อนถึงจังหวะเปิดออกจากโค้ง ดันมีลอนคลื่นเล็กๆบนถนน ผลก็คือ จังหวะที่รถบั๊มพ์ลอน ช่วงล่างของรถได้ "ดัน"รถออกจากไลน์ จนเกือบไปกินหญ้าแทนข้าวเที่ยง
พอจอดรถได้ ก็เดินมาดูที่ช๊อคอัพหน้า-หลัง ว่ามันสามารถปรับอะไรได้บ้าง แต่ปรากฎว่า หน้าปรับไม่ได้ ส่วนหลังปรับได้แค่ความแข็งของเกลียวสปริงแบบประแจขันบ่าล๊อค ...ความหนืด ไม่มีจุดให้เซ็ทโดยสิ้นเชิง...แล้วทำไง...ก็ขี่ต่อไปสิครับท่าน ไอ้เพื่อนเราที่ขี่ไปด้วยกัน ตามหลังผมมาตลอด เห็นตลอดว่ารถเกิดมีอะไรขึ้นบ้าง ต่างก็ส่ายหัวตอนที่ผมบอกว่า "แลกรถกันขี่ เพื่อลองดูบ้างมั๊ย"...
- ระบบเบรค เมื่อเอามาลองวิ่งทางไกลที่มีความร้อนสะสมน้อยกว่าการหวดในเมือง มันก็ยังมีอาการ "ไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่อยู่ดี"
...................................................
ถามว่าค่าตัวสองแสนกลางๆ คุ้มมั๊ย ??? - คุ้มครับ ถ้ามองที่มันมาแบบรถใหม่ 100% มีประกันชั้น 1 ให้จ่าย (เคลมได้แค่ไหน ว่ากันอีกที) มีระบบเงินผ่อนให้เลือก มีการรับประกันชิ้นส่วนจากศูนย์จำหน่าย และมีทะเบียนถูกต้อง ยืดอก พกเล่ม ได้อย่างภาคภูมิใจ - คุ้มครับ ถ้าคิดที่จะซื้อมันมาขี่โฉบเฉี่ยวในเมือง ไม่ต้องใช้รอบสูงมากนัก
แต่... - มันยังไม่สมบูรณ์แบบมากนัก ถ้าคิดจะหวดไกลๆ เพราะถ้าเล่นรอบสูงๆ แช่นานๆ มันจัดอยู่ในประเภทมูมมาม (บริโภคน้ำมัน)ทีเดียว - ระบบช่วงล่างที่อย่าไว้ใจ ในกรณีที่จะต้องขี่แบบบู๊ดุดัน พลิกรถปุบปับ บนถนนที่คาดเดาพื้นผิวไม่ได้ - ระบบเบรคที่ต้องแก้ไข (ตรงนี้ "ย้ำ") ง่ายที่สุด ที่น่าจะจบก็คือ การเปลี่ยนมาสเตอร์ปั๊มพ์ตัวบนของเบรคหน้าให้มีแรงดันน้ำมันเบรคมากกว่าของติดรถ - ดีไซน์ของตัวรถที่เน้นให้ขี่ยืดโชว์ไหล่ในเมือง แต่ถ้าแช่ความเร็วออกไกลๆ เตรียมหาคนนวดต้นคอไว้รอตามสไตล์รถเนคเก็ตได้เลยครับ
ผิดถูก ก็ว่ากันไป ตามแต่ใจของคนอ่าน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่า "ต่าง" และน่าจะตรงที่สุด ก็อีตรงที่แต่ละคันที่ผมมีโอกาสได้ลอง ไม่มีคันไหนเลยที่ผมเป็นเจ้าของ ฉะนั้นจึงตัดประเด็นการมองแบบคนที่เสียเงินไปแล้วออกไปได้เลย...
ขอกราบขอบพระคุณ พี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ ทุกๆท่าน ที่ประเคนรถมาให้ลองขย่มแบบไม่หวง จนบ้านไม่มีที่จอด และรถทุกคันผมส่งคืนเจ้าของแบบไม่มีอะไรบุบสลาย ไม่มีอะไรชอกช้ำครับ
เอวัง...ก็มีด้วยประการฉะนี้แล...!!!
|
banana
2009-10-28 12:48:07
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #9 |
โอ้ว...ต้องขอบคุณพี่ banana กับรีวิว er ฉบับครบถ้วนและตรงไปตรงมาครับ ในฐานะที่ผมใช้รถรุ่นนี้ ข้อมูลที่ได้จากรีวิวเป็นประโยชน์ยิ่งในการขับขี่ที่คงต้องระมัดระระวังมากขึ้นกับอาการที่เกิดจากจุดอ่อนของตัวรถ
เห็นด้วยอย่างยิ่งกับเรื่องเบรกและช่วงล่างครับ เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสขี่ในเส้นทาง เลย-ภูเรือ-เพชรบูรณ์-กรุงเทพฯ โดยเฉพาะโค้งต่อเนื่อง และลอนคลื่นในโค้งที่เล่นเอาเหวอหลายครั้ง (ต้องขอบคุณทักษะที่ได้รับจากการเข้าเรียนไรดิ้งคอร์สกับทีมงานสตอร์ม ที่ช่วยให้สามารถแก้อาการจนผ่านมาได้โดยปลอดภัย)
เรื่องการปรับปรุงเบรกพี่bananaได้แนะนำไปแล้ว อยากถามอีกสักนิดครับว่า หากจะปรับปรุงช่วงล่างให้ไว้ใจได้มากขึ้น ควรจะทำอย่างไรบ้าง
ที่ผมคิดไว้คือ เปลี่ยนสปริงหน้า + โช้คหลังดีๆสักชุดจะช่วยได้สักกี่มากน้อยครับ ที่เล็งไว้คือ สปริงhyperpro+โช้ค matris
ขอบคุณครับ
|
nasaka
2009-10-28 14:42:12
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #10 |
ขอบคุณเจ๊บามากครับสำหรับคำตอบ(รอเจ๊เทสรถซะ เกือบลืม) ถ้ามีรีวิวจะดีมากเลยครับเจ๊
ส่วนเรื่องเบรกถ้าเปลี่ยนปั๊มบนเป็น เบรมโบ้และสายถักจะดีขึ้นไหมครับ ส่วนโช้ค เห็นมีวายเอสเอส กับสปริงโช้คหน้าไฮเปอร์โปร ถ้าเปลี่ยนคู่นี้จะดีขึ้นไหม คาดว่าทั้งหมดนี้รวมตัวรถน่าจะจบไม่เกิน300000 กับเก็บอี300000 นี้ไปเอา ซีบี1300 ทะเบียนปี03ขึ้นดีครับ |
Judy
2009-10-28 15:39:54
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #11 |
แหม...เดี๋ยวจะหาว่าผมมีอคติ ตามแบบฉบับของคนที่เสียเงินไปแล้ว....ไม่ขนาดนั้นหรอก เพราะถ้าจะว่ากันด้วยเรื่องอคติ มันไม่มีตรงกลางให้วัดกันได้หรอกกระมังครับ คนที่ไม่เสียเงิน ก็อาจจะมีอคติต่อแบรนด์ก็เป็นได้ เช่น ถ้าผมไม่มีเงินพอจะซื้อ GS1200 ผมก็อาจจะบอกว่า ทางไหนที่ GS ไปได้ KSR ก็ไปได้ แต่ทางที่ KSR ไปได้ บางเส้น GS ไปไม่ได้นะเออ.....
เห็นไหมครับ ปัจจัยส่วนตัว ลักษณะการใช้งาน หรือว่าความชื่นชอบส่วนบุคคลเป็นประเด็นสำคัญสุดในการเลือกรถ รถที่คนอื่นว่าดี อาจไม่โดนสำหรับเรา รถที่คนอื่นว่าไม่ดี อาจจะโอเคสำหรับเรา
เรื่องช๊อคอัพ ผมว่าแข็งไป รูดแต่ละทีตับคลอนเลย คุณบานาน่ายังบอกว่านิ่มไป 555...
ดังนั้น จขกท. ต้องลองเองครับ ถึงจะตอบได้ สิ่งที่เขียนไป เป็นเพียงทัศนะของแต่ละคนเท่านั้น
เอาว่า เจ้า ER6N ที่ซื้อมา มันไม่ได้เป็นรถที่ผมชอบ ใครถามกี่คนก็บอกตามตรงว่า ไม่ได้ชอบ แต่ซื้อเพราะในราคานี้ มันไม่มีตัวเลือกเอาซะเลย รถที่ผมต้องการคือ ต้องเป็นรถที่ไปกับเราได้ทุกที่ ซึ่ง ER6 ยังตอบโจทย์ตรงนี้ไม่ได้
แต่อย่าเอารถมือ 2 ในราคานี้มาเทียบกันเชียวนะ เบื่อแล้ว กับการขี่ไปแล้วไม่รู้ว่าอะไรจะเสียระหว่างทางบ้าง ขี่ไป สายตาต้องสอดส่ายหาน้ำมัน 95 ลิตรละ 40 บาท หรือไม่รู้ว่าตื่นมาพรุ่งนี้ มีอะไรต้องซ่อมอีก.....
ทั้งหมดที่ซื้อมาเพราะไม่มีรถขี่ไปทำงานแล้ว ก็ผมใช้อยู่คันเดียวทั้งเที่ยวทั้งทำงาน ดังนั้นจึงไม่เคยคาดหวังกับความเป็นเลิศอะไรของมัน เดินทาง(บนทางเรียบ)ได้ ใช้ในชีวิตประจำวันได้ไม่เทอะทะ(เพราะใช้ทุกวัน) ความเร็วมีเหลือใช้ ก็ขี่รอ KLR650 หรือ Versys ไปเรื่อยๆ ในระหว่างรอสิ่งที่ได้จาก ER6 คือ ตัดความกังวลเรื่องเสียเรื่องซ่อมออกไป นั่นละ ที่รถมือ 2 ในราคาพอๆกัน ตัวอื่นให้ไมไ่ด้
ขอให้ได้รถที่ถูกใจนะครับ |
backpacker
2009-10-29 03:49:06
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #12 |
รถมือสองขี่ไปซ่อมไปเรื่องธรรมชาติครับ รถใหม่ๆสักวันก็เก่าและต้องซ่อมแซมเช่นกัน เป็นไปตามวงจรชีวิตของมัน อิอิ
ถ้ารถเก่าๆบางร่นขี่เข้าโค้งได้ดีๆ เบรคดีมั่นใจ บำรุงรักษาเปลี่ยนอะไหล่ตามระยะเวลา กับรถใหม่กลิ่นหอมๆ ถ้าเผลอแล้วอาจขี่แล้วหลุดโค้ง เบรคไม่ค่อยอยู่ แต่ไม่ต้องมีค่าซ่อมแซมนัก เบรคก็แก้ไขได้ แต่ทั้งหมดก็เพราะมันไม่ได้ออกแบบมาให้เป็นรถ performance
ผมไม่ได้เป็นเจ้าของหรอกครับ ก็เคยยืมเพื่อนมาแว้นซ์ ส่วนตัวยังชอบ CB Vtec.มากกว่า แตด้วยเครื่องที่ใหญ่กว่า และราคารถและราคาอะหลั่ยที่เป็นมิตร บอกได้คำเดียว่าคุ้มแล้วครับ
ที่มาเลย์ราคาประมาณ 329,890 บาทครับ (ตัวก่อนABS)
นานาจิตตังเนอะ โลกนี้ไม่มีอะไรจะดีสมบูรณ์แบบไปเสียหมด ^^! |
PalmBeach
2009-10-29 05:53:38
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #13 |
เห็นด้วยกับ คห.6 ครับ ผมใช้ d tracker มาปีกว่า วิ่งไป-กลับ วันละประมาณ 60 กม.ก็อย่างที่คุณbananaว่าไว้คือกินน้ำมันน้อยดีเฉลี่ยกิโลละบาท(เบนซิน95,วิ่ง70-80กม/ชม)โชคดีไม่เคยเจอปัญหา"ดับ"เหมือนที่"เคย"เจอกันในอดีต แต่ทางศูนย์ก็เรียกเปลี่ยนกล่องไปแล้ว ตีนต้นดีแต่ปลายเหี่ยว ยกเว้นเปลี่ยนใส่กล่องแต่ง แต่ด้วยรูปทรงของรถก็ไม่เหมาะจะแช่ที่ความเร็วสูงมากๆ มีข้อแนะนำคือถ้าเจ้าของกระทู้สูงซัก 170+ซม.ขึ้นไปก็จะดีกรณีที่ใช้ขี่ในเมือง เผื่อรถไปติดอยู่แถวคอสะพานหรือเนินทั้งหลายจะได้ไม่เป็นปัญหา ส่วนจะขี่ไปต่างจังหวัดได้ไหม ไม่เป็นปัญหาทั้งเรื่องน้ำมัน (91ขึ้นไป)รวมถึงเบาะ แม้มันจะแคบแต่ด้วยถังความจุ 7.7ลิตร ยังไงก็ต้องแวะปั้มพักทั้งคนและรถอยู่ดี ส่วนเรื่องยาง ก็ใช้ไปสักพักค่อยเปลี่ยนก็ได้ มันไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดซื้อรถปุ๊บต้องเปลี่ยนยางทันที แต่เห็นหลายคนบอกว่ายางติดรถรู้สึกมันจะเสื่อมสภาพเร็วไปหน่อย ถ้าอยู่กทม.แนะนำไปลองรถได้ที่ศูนย์พระราม9 ถึงแม้ที่มันจะไม่กว้างมากแต่อย่างน้อยก็พอจะรู้ feelingคร่าวๆของรถได้ ส่วน er6 ก็แปลกใจเหมือนกันเพราะเห็นหลายคนก็บอกว่ามันแข็งไปหน่อย เวลาเจอถนนที่เป็นซีเมนต์ล้วนๆไม่ได้ราดยางทับกระเทือนดีเหลือเกิน แต่ถ้าเป็นราดยางก็โอเค กรณีนี้ DTK สบายๆ |
red seat
2009-10-29 07:34:18
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #14 |
สุดยอดครับพี่ กระจ่างชัดเลย นี้ถ้าผมชอบรุสไตล์นี้ ไม่ลังเลเลยครับ ที่จะเอาออกจากคอกมาควบ พี่ครับว่างๆๆ ชอบไขข้อข้องใจให้ผมที่นะครับเรื่องเจ้า ducati gt 1000 ขอบคุณคร้าบ |
meng081
2009-10-29 18:19:41
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #15 |
สำหรับ ผมที่ขี่ ER6n มาจะปีแล้ว รู้สึกว่า คุ้มมากๆ ผมทำงาน 6 วันไม่มีเวลาดูแลรักษารถเท่าไหร่ ก็มีคันนี้แหละครับ ที่ตอบโจทย์ ผมได้หมด จะขี่ไปทำงานก็สะดวกเพราะเล็กกะทัดรัดกว่าตัว 1000 เป็นไหนๆ ถ้าเปลี่ยนกระจกเล็กลงก็ มุดได้อีกแทรกตาม wave ได้เลย แต่ผมชอบกระจกเดิมๆใหญ่ดี มองเห็นหลังชัดแจ๋ว ไม่รู้จะหล่อแล้วไม่เห็นไปทำไม สมรรถณะตามที่ ทุกท่านกล่าวไว้ แต่สำกรับผมมีเมียซ้อนท้าย ไม่บ่น แถมรถกำลังเหลือเฟือสำหรับคนซ้อนแบบนี้(เมียซ้อนขึ้นเขา-ลงเขามาแล้ว) ราคาแสนถูก คุ้มสุดๆแล้วครับ |
The_Blue_Panda
2009-10-30 03:22:04
|
แจ้งลบความเห็น |
ความเห็นที่ #16 |
ถึงหลายความเห็นของผมจะต่างจากคุณ Backpacker แต่สิ่งหนึ่งที่ผมยืนยันเหมือนกันก็คือ "อย่าเชื่อใคร จนกว่าจะได้ลองด้วยตัวเองครับ"
เดินเข้าศูนย์ฯ เค้ามีรถเดโมให้ลอง (แต่วิ่งได้แค่วนเวียนอยู่ในพื้นที่นะครับ) |
banana
2009-11-01 09:31:48
|
แจ้งลบความเห็น |
|