Register LOGIN Forget password ?
:: Special Scoops :: 2007 BMW K1200GT
Guest View : 21,410 / Last update : 31/08/2007
 
 
ประวัติและเทคโนโลยี สัมผัสที่ได้จากการขับขี่ ข้อมูลทางเทคนิค รวมภาพการทดสอบ
K1200R พละกำลังมหาศาลในแบบกึ่งเปลือยของเครื่องยนต์พาราเรลโฟร์ ขับขี่สบาย พร้อมออฟชั่นครบครันเหมาะสำหรับขับขี่โฉบเฉี่ยวเกี้ยวสาว
K1200LT โมเดลท๊อปสุดในสายพันธุ์เครื่องยนต์ 4สูบเรียง เพียบพร้อมไปด้วยออฟชั่นไฮเอนด์ที่ถือว่าสุดยอดที่สุดที่อำนวยความสะดวกสบายชนิดที่แทบจะยกออกมาจากรถยนต์ นำมาใส่ในรถมอเตอร์ไซค์
K1200S สุดยอดรถสปอร์ตเครื่องยนต์พาราเรลโฟร์ของค่ายที่ผลิตขึ้นมาเพื่อต่อกรกับสปอร์ตแรงสูงจากฝั่งญี่ปุ่น ซึ่งหลายๆคนเรียกมันว่า มันคือ แบล็คเบิร์ดเวอร์ชั่นเมืองเบียร์ เนื่องจากดีไซน์ชุดไฟหน้าที่ดูใกล้เคียงกันมาก
เครื่องยนต์แบบสี่สูบเรียง 16 วาล์ว ที่เป็นเครื่องยนต์ที่ทรงพลังและสมบูรณ์ที่สุดของ BMW
็ชุดควบคุมฟังก์ชั่นทางฝั่งซ้ายที่ใช้งานง่าย เพียงแต่อาจจะต้องทำความเคยชินกับมันซักหน่อย
แฮนเดิ้ลบาร์ทรงสูงสามารถปรับระดับได้ตามสรีระของผู้ขับขี่
ชุดไฟท้ายทรงแบนรวมไฟเลี้ยวไว้ในชุดเดียวกัน ให้ความสว่างชัดเจน
ชุดเรือนไมล์แสดงผลการทำงานและการปรับตั้งค่าต่างๆบนตัวรถอย่างครบครันและชัดเจน
ชุดตะเกียบหน้าอันเป้นอุปกรณืชิ้นหนึ่งของระบบกันสะเทือนแบบ Paralever ที่ให้ความนุ่มนวล ไม่มีอาการหน้าทิ่มเวลาที่ใช้เบรคหน้ารุนแรง และคาลิเปอร์เบรคของ Brembo แต่ใช้โลโก้ BMW
แผ่นใสบังลมหน้ารถในระดับที่ปรับขึ้นสูงสุด สามารถป้องกันกระแสลมและสิ่งแปลกปลอมกระเด็นเข้าสู่ตัวผู้ขับขี่
ชุดล้อหลังที่ใช้ชุดเพลาทำงานเป็นแขนยึดล้อไปในตัว พร้อมล้ออลูมิเนียมฉีดขอบมนเปิดโล่งด้านขวา ทำให้ดูแลรักษาได้ง่าย
ชายไทยไซส์มาตรฐาน สูง 175 ซม. ก็สามารถคร่อมเจ้า K1200GT ได้อย่างสบายไม่ติดขัด

BMW K1200GT ( 2007)

หลังจากที่ตื่นตาตื่นใจไปกับสุดยอดรถเนคเก็ตขนาดกลางอย่างเจ้าพญาแตนไฟ Honda Hornet 600 โมเดลปี 2007 จากข้อเขียนของอีตาเกียร์ 7 ไปแล้วในตอนแรก ลำดับที่สองก็ถึงคิวของอีกหนึ่งคันที่เรานำมันเดินทางไปเพื่อทดลองการขับขี่ในสภาพการใช้งานจริงบนท้องถนน ตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งานจริงๆของการออกแบบรถรุ่นนี้ BMW K1200GT โมเดลปี 2007 ครับ และ ต้องขอขอบพระคุณ มล. กมลชาติ ประวิตร Manager After Sales BMW Motorrad Thailand ของบริษัท BMW (Thailand) Co.,Ltd. ที่สนับสนุนรถทดสอบในครั้งนี้จากโชว์รูม ในสภาพที่เรียกได้ว่า แทบจะเพิ่งแกะจากกล่อง เพราะตัวรถคันที่ได้รับมา เพิ่งมีตัวเลขสะสมบนเรือนไมล์ไปแค่ห้าสิบกว่ากิโลเมตรเท่านั้นเอง และในบทความนี้ อาจจะกล่าวถึงรายละเอียดบนตัวรถมากซักหน่อยเพราะ BMW เป็นแบรนด์รถที่ผู้ใช้รถส่วนใหญ่ของบ้านเรายังไม่คุ้นเคยกับสารพัดสิ่งบนตัวรถครับ

ทำไมถึงต้องเป็น BMW K1200GT
BMW K1200GT จัดอยู่ในกลุ่มรถทัวริ่งของค่ายใบพัดสีฟ้า ซึ่งในกลุ่มทัวริ่งของค่ายนี้มีอยู่ทั้งหมด 4 รุ่น คือ F800ST K1200GT K1200LT และ R1200RT โดยที่ยังไม่ได้นับรวมรุ่นพิเศษคือ R1200RT-P เข้าไป เพราะมันเป็นรถรุ่นพิเศษที่ผลิตขึ้นมาเพื่อสนับสุนการใช้งานของหน่วยงานตำรวจของแต่ละประเทศที่สั่งซื้อไปใช้งาน สาเหตุที่การทดลองขับขี่ในครั้งนี้ เราเลือก K1200GT ก็เพราะมันเป็นรถทัวริ่งขนาดใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ 4 สูบเรียงตามแนวตัดขวางกับแนวของแกนตัวรถ ฉะนั้นฟีลลิ่งของเครื่องยนต์จึงน่าจะใกล้เคียงกับรถทัวริ่งค่ายญี่ปุ่นส่วนใหญ่ที่ใช้เครื่องยนต์แบบเดียวกับที่เราทุกคนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว มันจึงง่ายที่จะเปรียบเทียบประสบการณ์ที่ได้จากการขับขี่จากตัวรถที่แปลกใหม่ในครั้งนี้ ซึ่งในตระกูล K ที่เป็นทัวริ่งนี้ ยังมีเจ้า K1200LT เป็นพี่ใหญ่สุด โดยที่ K1200GT ตัวที่เราทดลองขี่ในครั้งนี้อยู่ในฐานะพี่รองของค่าย สาเหตุที่เราไม่เลือกตัว LT มาลองขี่ ก็เป็นพราะมันดูอุ้ยอ้าย คันใหญ่โต มีระะบบอำนวยความสะดวกมากมาย ซึ่งอาจจะทำใไการขับขี่ไม่ได้อรรถรสเหมือนเจ้า GT ที่แลดูคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉงกว่า และอีกหนึ่งปัจจัยหลักที่ผมเลือกรถจากค่ายนี้มาทดลองขับขี่และบรรยายให้ทุกคนได้สัมผัสกัน ก็เป็นเพราะที่ผ่านมา รถจากค่าย BMW ไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้รถมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่อย่างเราๆท่านๆได้ง่ายนัก อาจเป็นเพราะราคาค่าตัวที่สูง รวมไปถึงสารพัดความเชื่อที่ว่า รถแพงๆ มันน่าจะขี่ยาก รถคันใหญ่ มันน่าจะไม่คล่องตัว แต่อย่างน้อยผมก็เชื่อว่า รถทัวริ่งของค่ายนี้ อยู่ในใจนักเล่นรถบ้านเราที่รักการขับขี่ท่องเที่ยวในลำดับต้นๆของ รถที่ต้องการครอบครองสักคัน ถ้าทุกคนมีโอกาส และคราวนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ทดลอง เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้สู่หลายคนที่แอบฝันถึงมันอยู่ เพื่อจะได้ทำฝันให้เป็นจริงในเวลาอีกไม่นาน

แล้วเครื่องยนต์มันจะเป็นแบบไหน
เราๆท่านๆอาจคุ้นเคยกับรถค่ายนี้ที่มีแต่เครื่องแบบสองสูบนอนยันหรือที่เรียกว่า BOXER มาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ แต่แท้ที่จริงแล้ว ในปัจจุบันค่าย BMW มีเครื่องยนต์สามแบบหลัก คือ แบบ Boxer 2 สูบนอนยัน แบบสี่สูบเรียง และแบบสูบเดี่ยว ซึ่งเจ้า K1200GT ตัวนี้มีเครื่องยนต์แบบสี่สูบเรียง 16 วาล์ว (สี่วาล์วต่อสูบ) แพลทฟอร์มเดียวกับสองรถแรงแห่งค่ายนี้คือ K1200S K1200R มีระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบหัวฉีดและควบคุมการจุดระเบิดด้วยระบบอิเลคโทรนิคส์ เสื้อสูบวางเอียง 55 องศา ในตำแหน่งที่จุดศูนย์ถ่วงของเครื่องยนต์อยู่ในระดับที่ต่ำ อันมีแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากเทคโนโลยีของ F1 รูปทรงและขนาดของเครื่องยนต์ทรงกระทัดรัด ระบบเกียร์ 6 ระดับมีอัตราทดที่ชิดกระชับ ตอบสนองการใช้งานได้ฉับไว สามารถถ่ายทอดพละกำลัง 152 bhp ที่ซ่อนออกมาได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเครื่องยนต์ลูกนี้ ได้รับการยอมรับว่า มันเป็นเครื่องยนต์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด และทรงพลังที่สุดของ BMW ในปัจจุบัน

ระบบช่วงล่างปรับเซ็ตง่ายแค่ใช้ปลายนิ้ว
ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบ Duolever มีช๊อคอัพเดี่ยวขนาดใหญ่ซ่อนอยู่หลังแกนคอรถ และด้านหลังที่เป็นระบบ EVO Paralever ซึ่งมีช๊อคอัพไฟฟ้าขนาดใหญ่ยักษ์ประจำการอยู่ ซึ่งเราๆท่านที่ขี่แต่รถญี่ปุ่นอาจจะคุ้นเคยกับการปรับตั้งด้วยไขควงและประแจ แต่ของ BMW มันเป็นระบบช่วงล่างคอนโทรลด้วยไฟฟ้า ที่ทำให้รถมอเตอร์ไซค์ค่ายนี้มีความแตกต่างจากรถค่ายอื่น และเป็นจุดขายอันโดดเด่นของรถค่ายนี้ มีการทำงานที่ให้ความรู้สึกในการควบคุมรถได้ง่าย นุ่มนวล และรู้สึกปลอดภัย ทำงานร่วมกับระบบ ESA ซึ่งเป็นระบบปรับตั้งระบบกันสะเทือนด้วยไฟฟ้าผ่านการใช้นิ้วกดเลือกบนปุ่มที่อยู่บนแฮนเดิ้ลบาร์เท่านั้น ซึ่งระบบกันสะเทือนของเจ้าตัวนี้มันสามารถเลือกเซ็ทได้ทั้งแบบขี่คนเดียว แบบมีผู้โดยสาร แบบมีสัมภาระ ทุกอย่างสามารถปรับเซ็ทได้ละเอียดอีกสามระดับคือ Normal-Sport-Comfort ซึ่งการปรับตั้งระบบกันสะเทือนนี้ ควรปรับเปลี่ยนค่าการเซ็ทในขณะที่รถหยุดนิ่ง จะเป็นการดีที่สุดครับ

ทัศนวิสัยยามขับขี่ โล่ง สบาย มองเห็นเส้นทางข้างหน้าได้ชัดเจน บนท่านั่งที่ไม่ฝืนธรรมชาติ
ท่อไอเสียขนาดใหญ่เพื่อผลในเรื่องการกรองมลพิษ ให้สุ้มเสียงที่ทุ้ม นุ่ม ตามแบบฉบับผู้ดี
กระเป๋าสัมภาระขนาดใหญ่ พร้อมแร็คสำหรับมัดของหรือติดตั้งกระเป๋าได้อีกหนึ่งใบ
ชุดเพลาขับล้อหลังระบบปิด ตัดปัญหาเรื่องการดูแลรักษาเวลาสกปรก และสามารถถ่ายทอดกำลังลงล้อได้อย่างนุ่มนวล
เบาะคนซ้อนขนาดใหญ่ หนา นุ่ม ดีไซน์รับกับสรีระขณะใช้งาน ทำให้ลดความเหนื่อย เมื่อย และเกร็งของคนซ้อน
บังโคลนหลังสามารถปรับระยะความยาวเพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันสารพัดสิ่งกระเด็นย้อนใส่ตัวรถ
ช่วงทดสอบการใช้ระบบ Cruise Control ที่มีมาให้บนตัวรถ

การบังคับคอนโทรลรถ มันจะยากง่ายขนาดไหน กับรถคันใหญ่ๆแบบนี้
รูปทรงของชุดพลาสติคแฟริ่งรอบตัวรถถูกออกแบบมาให้แหวกสายลมและแลดูโฉบเฉี่ยวด้วยเส้นสายบนตัวรถที่เฉียบคม จึงทำให้มันแลดูเป็นรถขนาดใหญ่ที่กระทัดรัด แฮนเดิ้ลบาร์ทรงปีกนกสูง สามารถปรับระดับความสูงให้เข้ากับสรีระของผู้ขับขี่ รูปทรงของแฮนเดิ้ลบาร์แบบกระทัดรัดไม่ใหญ่โตเกินไปตามสเกลรถ รวมไปถึงเบาะนั่งของผู้ขับขี่ก็สามารถปรับระดับความสูงได้ตามสรีระของผู้ขับขี่ได้เช่นกัน ตำแหน่งพักเท้าอยู่ในตำแหน่งที่ลงตัว ทำให้ท่านั่งอยู่ในท่ากำลังสบาย ขางอกำลังดี แขนงอกำลังสวย แนวแผ่นหลังตั้งตรง ซึ่งส่งผลต่อระดับคอที่ทำให้สายตามองไปข้างหน้าด้วยอาการไม่เกร็ง ชุดเรือนไมล์แสดงผลความเร็วและวัดรอบแบบเข็ม ขนาดใหญ่กำลังดี ส่วนค่าฟังก์ชั่นอื่นๆอยู่ในจอ LCD สี่เหลี่ยมตรงกลางมองเห็นได้ชัดเจนโดยที่แทบไม่ต้องก้มหน้าลงไปมองแบบจริงจัง ทำให้มีเวลาในการสำรวจทัศนวิสัยข้างหน้าได้อย่างปลอดภัย

บรรทุกคนซ้อนสัมภาระได้เหมือนย้ายบ้าน
จุดเด่นทางสายตาในยามที่มองเห็นรถรุ่นนี้ก็คือ กระเป๋าสำหรับใส่สัมภาระด้านข้างขนาดใหญ่พอประมาณทั้งสองใบ ถูกออกแบบมากลมกลืนกับตัวรถโดยรวม การเปิด-ปิดกระเป๋ารวมถึงปลดล๊อคออกจากตัวรถทำได้ง่ายดายโดยใช้กุญแจลูกเดียวกันกับที่ใช้เปิดระบบการทำงานของรถ รูปทรงของกระเป๋าถูกออกแบบให้ด้านข้างที่หันไปด้านหน้ารถมีมุมมนให้กระแสลมลื่นไหลผ่านไปได้อย่างราบรื่น นอกจากนั้นยังมีชุดแร็คด้านหลังของเบาะคนซ้อนที่ดีไซน์เป็นแผ่นเพลทไว้รองรับการมัดสัมภาระที่มีขนาดใหญ่เกินกระเป๋า หรือเสียเงินเพิ่มอีกนิดหน่อย สำหรับกระเป๋าของตรงรุ่นอีกหนึ่งใบ แค่นี้คุณก็สามารถบรรทุกสัมภาระไปได้อย่างไม่ต้องเกรงใจใคร ซึ่งตามค่าการบรรทุกของรถรุ่นนี้ที่เคลมไว้ถึงประมาณ 520 กก.รวมน้ำหนักรถ นั่นแสดงว่าคุณสามารถเหน็บคนซ้อนพร้อมสัมภาระไปได้อย่างที่รถรุ่นอื่นยังต้องตะลึง และมีข้อแนะนำนิดหน่อยครับ ก่อนออกเดินทางในกรณีที่มีสัมภาระในกระเป๋า ควรกะประมาณให้น้ำหนักบรรทุกของทั้งสองกระเป๋าอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน เพราะถ้าน้ำหนักไม่สมดุลย์เมื่อไหร่ จะส่งผลต่อการควบคุมรถในโค้งซ้าย-ขวาทันที

สะดวกสบายผ่อนคลายกับครูสคอนโทรล
การขับขี่รถในระยะทางไกลๆ ย่อมเกิดความเหนื่อย เมื่อยล้าอวัยวะส่วนต่างๆที่ใช้ควบคุมรถซึ่งต้องใช้งานอยู่ตลอดเวลา ครั้นถ้าเมื่อยขา ก็แต่ยืดแข้งขาออกไปสะบัด เมื่อยมือซ้ายก็ละมือจากแฮนด์ออกไปสะบัด แต่มือขวานี่สิสำคัญ เพราะทันทีที่เราละมือจากคันเร่ง อัตราเร่งหรือความเร็วของรถจะตกลงจนทำให้เสียอาการในการควบคุมรถ แต่ระบบครูสคอนโทรลที่ติดตั้งมาให้ทำให้เราสามารถละมือขวาจากคันเร่งได้ เพียงแต่ใช้นิ้วโป้งซ้ายดันสวิทช์ไปด้านขวา แล้วกดปุ่มระบบครูสคอนโทรลให้เริ่มทำงาน โดยระบบจะทำงานที่ความเร็วตั้งแต่ 60 กม/ชมขึ้นไป ครั้นถ้าต้องการเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นจากตอนที่เซ็ตไว้ครั้งแรก ก็แค่ใช้นิ้วหัวแม่มือซ้ายกดปุ่มคอนโทรลดันไปข้างหน้า ความเร็วของรถก็จะค่อยๆเพิ่มขึ้นไปตามระยะเวลาที่เรากด และระบบครูสคอนโทรลจะยกเลิกการทำงานก็ต่อเมื่อเราดันคันเร่งไปข้างหน้า หรือแตะเบรคเท่านั้นเอง ซึ่งระบบเหล่านี้หาไม่ได้บนรถที่เราคุ้นเคยกันตลอดมา อีกหนึ่งฟังด์ชั่นที่เป็นจุดเด่นก็คือ แผ่นใสบังลมหน้ารถสามารถปรับระดับความสูงต่ำได้ง่ายเพียงนิ้วมือกดบังคับซึ่งในระดับปกติความสูงของขอบด้านบนแผ่นใสบังลมหน้ารถอยู่ในระดับต่ำกว่าสายตาของผมซึ่งสูง 175 ซม. แต่กระแสลมที่ประทะหน้ารถจะถูกดันขึ้นไปให้เลยศีรษะ ทำให้ไม่ปวดเมื่อยต้นคอเหมือนกับการขี่รถรุ่นอื่นๆ ที่มีแผ่นใสระดับต่ำ และในกรณีที่เจอสายฝน เราสามารถกดปุ่มปรับระดับแผ่นใสให้สูงขึ้น จนสามารถดันสายฝนที่ประทะหน้ารถยามขับขี่ไม่ให้ผู้ขับขี่เปียกปอน รวมไปถึงสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ด้านหน้า ไม่ให้ประทะตัวผู้ขับขี่เกิดความเมื่อยล้ายามขับขี่ทางไกล พูดง่ายๆก็คือ ไม่เลอะแมลง ไม่โดนก้อนกรวดก้อนหิน และละอองฝนกระเด็นเข้าใส่ แต่ข้อเสียของแผ่นใสทรงสูงก็มีครับ เพราะเราต้องเข้าใจก่อนว่า ตัวรถถูกออกแบบมาให้ใช้งานในเมืองหนาวเป็นหลัก ตลาดส่วนใหญ่ของรถประเภทนี้คือตลาดยุโรป หรืออเมริกาเหนือที่มีอากาศหนาวเย็น แต่พอนำมาใช้งานในเมืองร้อนอย่างบ้านเรา ทำให้แผ่นใสนี้กลายเป็นเกราะกำลังสายลมไม่ให้เข้าประทะตัวผู้ขับขี่ทั้งหมด ซึ่งในวันที่เรานำรถไปทดลองขับขี่นั้น ผมใส่ชุดหนังทั้งตัว ผลก็คือ แทบไม่มีสายผมมาสัมผัสร่างกายเอาเสียเลย ถึงแม้จะเปิดซิปเสื้อหนังแล้วก็เถอะ ทำเอาเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว และที่สำคัญ การปรับระดับของแผ่นใสบังลม ควรปรับในขณะที่รถหยุดนิ่งหรือขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ เพราะไม่เช่นนั้นกระแสลมที่ความเร็วสูงจะดันแผ่นใสที่กำลังเคลื่อนขึ้น-ลง เกิดความเสียหายในส่วนของอุปกรณ์ควบคุม

สารพันฟังก์ชั่นและอุปกรณ์บนตัวรถ
ชุดเรือนแสดงผลครบครัน จากสารพันฟังก์ชั่นคอนโทรลบนตัวรถ จะมีการแสดงผลการเซ็ทที่หน้าจอนี้ รวมไปถึงการแสดงผลพื้นฐานเช่น ระดับน้ำมันเชื้อเพลิงในถัง ระดับความร้อน อุณหภูมิเครื่องยนต์ และที่กิ๊บเก๋ชวนเท่ห์ปนสงสัยก็คือ การแสดงค่าอุณหภูมิบรรยากาศ แสดงผลอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในขณะที่เราใช้คันเร่ง แสดงผลระยะทางที่สามารถเดินทางไปได้กับปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในถัง ระยะทางรวม ระยะทางในทริปที่สามารถเซ็ทได้ ซึ่งสารพัดฟังก์ชั่นนี่เอง ทำเอาหลายๆคนที่รู้ถึงกับเอ่ยปากออกมาเหมือนกันว่า มันก็คือการย่อส่วนฟังก์ชั่นจากรถยนต์ราคาแพงๆมาไว้ในมอเตอร์ไซค์นั่นเอง รวมไปถึงชุดไฟหน้าแบบซีนอนเป็นอุปกรณ์ติดตั้งมาจากโรงงาน ให้ค่าความสว่างยามขับขี่ตอนกลางคืนได้อย่างสบายตา ชัดเจน และยังมีสิ่งเล็กๆน้อยบนตัวรถที่มีมาให้นั่นก็คือแผ่นกันโคลนด้านหลังที่สามารถปรับระดับความยาวไม่ให้ละอองโคลนกระเด็นย้อนกลับตามการหมุนของล้อหลัง ได้เพียงแค่โบลต์ตัวเดียว

ปุ่มคอนโทรลระบบไฟสัญญานต้องจดจำใหม่
เอกลักษณ์ของรถค่ายนี้อีกอย่างที่เป็นอุปกรณ์พื้นฐานซึ่งตำแหน่งการคอนโทรลแตกต่างไปจากรถแบรนด์อื่น ก็คือเรื่องของปุ่มควบคุมระบบไฟสัญญานบนตัวรถครับ จากที่เคยสั่งการแสดงผลไฟเลี้ยวซ้าย-ขวาด้วนหัวแม่มือซ้ายข้างเดียว เปลี่ยนมาเป็นเลี้ยวขวา ก็กดปุ่มที่อยู่ใกล้หัวแม่มือขวา เลี้ยวซ้ายก็หัวแม่มือซ้าย ส่วนเวลายกเลิกก็ต้องกดปุ่มที่อยู่เหนือไฟเลี้ยวขวาด้านขวา อละถ้าตอ้งการให้ไฟเลี้ยวทุกดวงติดพร้อมกันเวลาจอด (Hazard) ก็แค่กดปุ่มไฟเลี้ยวซ้าย-ขวาพร้อมกัน กรณียกเลิกก็ใช้ปุ่มยกเลิกเหมือนไฟเลี้ยวปกติ ตำแหน่งแตรเสียงสัญญานก็อยู่ในระดับกลางของชุดประกับคอนโทรลฝั่งซ้าย ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งล่างสุดเหมือนที่เราคุ้นเคย ปุ่มปรับระดับไฟหน้าสูง-ต่ำ อยู่ฝั่งซ้ายมีการบังคับง่ายดายในตำแหน่งที่เราคุ้นเคย ปุ่มกดสตาร์ทเครื่องยนต์ อยู่ด้านบนของชุดประกับด้านขวาครับ เป็นปุ่มกดอยู่บนแกนบิดซ้าย-ขวาซึ่งใช้สำหรับเปิด-ปิดระบบไฟฟ้าของตัวรถ

หน้าถัดไป >> สัมผัสที่ได้จากการขับขี่

ประวัติและเทคโนโลยี สัมผัสที่ได้จากการขับขี่ ข้อมูลทางเทคนิค รวมภาพการทดสอบ
 
Privacy & Policy Statements Advertisement About StormClub.com Contact Stormclub.com